วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ฟู้ด สไตลิสต์ นักครีเอทีฟ อาหาร+งานศิลป์

ฟู้ด สไตลิสต์ นักครีเอทีฟ อาหาร+งานศิลป์

น้องๆ ที่จะก้าวเข้ามาเป็นฟู้ด สไตลิสต์ได้นั้น ต้องมีองค์ประกอบ 4 อย่าง คือ ทำอาหารได้จริง รสชาติอร่อย ถูกสุขลักษณะมีคุณค่าทางโภชนาการ และหัวศิลป์
หากเอ๋ยชื่อ "พี่ขาบ สุทธิพงษ์ สุริยะ" หรือ "ขาบ สตูดิโอ" (Karb Studio) ย่อมเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีในแวดวงธุรกิจอาหารและคนทำงานศิลปะ เพราะเขาคือผู้บุกเบิกอาชีพฟู้ด สไตลิสต์ (Food Stylist) ในบ้านเรา
โดย เขา นิยามอาชีพสุดเดิ้นนี้ว่า ฟู้ด สไตลิสต์ อาชีพที่ว่าด้วยการ คลุกเคล้าระหว่างการปรุงอาหารกับงานศิลปะไว้ด้วยกันอย่างลงตัว
อีกนัย ก็คือ คนที่อยู่เบื้องหลังของอาหารชวนหน้าตาดี กับรสชาติที่แสนอร่อย กลายเป็นมูลค่าเพิ่มที่สร้างได้ด้วย ฟู้ด สไตลิสต์ ในแบบที่ทำให้คนดูพอใจ คนรับประทานก็พอใจ
เจ้าของขาบสตูดิโอ บอกอีกว่า อาชีพฟู้ดสไตลิสต์ถือว่าเป็นอีกแขนงหนึ่งในงานดีไซน์ เพียงแต่การทำหน้าที่ในอาชีพนี้จะเลือกยืนอยู่ในส่วนของดีไซน์อาหาร ซึ่งพูดได้เลยว่าเป็นอาชีพที่ใหม่มากในบ้านไทย และยังมีโอกาสอีกมากที่รอเด็กรุ่นใหม่ๆ ก้าวเข้ามา ยิ่งหากพิจารณาจากลิสต์อาหารที่วางขายบนชั้นวางในซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วจะพบว่ามีน้อยกว่า 5% เท่านั้นที่เป็นแบรนด์ไทยและมีคุณสมบัติของความสวยงามได้ตามมาตรฐานสากล
"โอกาสในอาชีพ ฟู้ดสไตลิสต์ มีอยู่อีกเยอะมาก เพียงแต่ตอนนี้ ยังไม่เป็นอาชีพที่ชัดเจนมากนัก และคนที่ยึดอาชีพนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่ทำงานศิลปะมาก่อน ไม่มีพื้นฐานด้านงานครัว จึงไม่สามารถต่อยอดงานออกไปในระดับกว้างได้"
พี่ขาบ บอกอีกว่า น้องๆ ที่สนใจจะก้าวเข้ามาเป็นฟู้ด สไตลิสต์ ที่ดีและประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องมีประสบการณ์หรือมีพื้นฐานในครัวมาก่อน เพราะจะทำให้เข้าใจระบบการปรุงอาหาร เทคนิคงานในครัว รู้ว่าปรุงอาหารออกมาแล้วหน้าตาเป็นอย่างไร ได้รสชาติอย่างไร
"พี่ว่าน้องๆ ที่จะก้าวเข้ามาเป็นฟู้ด สไตลิสต์ได้นั้น ต้องมีองค์ประกอบ 4 อย่าง คือ ทำอาหารได้จริง รสชาติอร่อย ถูกสุขลักษณะมีคุณค่าทางโภชนาการ และหัวศิลป์"
ส่วนจุดเริ่มต้นในอาชีพฟู้ด สไตลิสต์ของพี่ขาบนั้น เกิดจากความชอบและการสั่งสมประสบการณ์ในวัยเยาว์
"พี่ไม่ได้เรียนทำอาหาร หรือศิลปะโดยตรง แต่พื้นฐานครอบครัว ทำธุรกิจซื้อขายพืชไร่ ทำให้ได้เห็นวงจรของวัตถุดิบ เข้าใจโครงสร้างของวัตถุดิบที่ดี ว่าช่วงไหนพืชออกดอกออกผล ฤดูไหนให้ผลผลิตดีที่สุด และที่บ้านทำร้านอาหารด้วย เป็นคนชอบปรุงอาหารเป็นทุนเดิม ประกอบกับชื่นชอบศิลปะ จึงพยายามมองจะมองหาความสวยจากการปรุงอาหาร"
พี่ขาบ เล่าย้อนกลับไปในสมัยเรียนมัธยม เมื่อเข้าร้านหนังสือจะตรงดิ่งไปยังมุมแมกกาซีนอาหารหัวนอก เปิดมองดูภาพ แล้วคิดต่อว่าทำไมภาพจานอาหารนั้นถึงได้ดูสวย หรือแม้กระทั่งสังเกตในวีซีดีคุ๊กกิ้งโชว์ และทุกครั้งที่ดูแมกกาซีนและวีซีดีเหล่านี้ ก็จะกลับมาดูที่เครดิตท้ายรายการ ทำให้ได้เห็นว่ามีอาชีพฟู้ด สไตลิสต์ อยู่บนโลกในนี้ด้วย
"เราก็อ๋อ มีอาชีพนี้ด้วยเหรอ พอโตมาหน่อยได้มีโอกาสไปเรียนศิลปะกับ ครูโต มล.จิราธร จิรประวัต ซึ่งพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่าเป็นคนจุดประกายอาชีพฟู้ดสไตลิสต์ให้กับพี่ ด้วยการถ่ายทอดวิธีคิด มุมมอง ทำให้เห็นว่าฟู้ดสไตลิสต์ สามารถยึดเป็นอาชีพได้ หากจริงจังก็จะขยายฐานองค์ความรู้ได้ และที่สำคัญคือเมืองไทยยังไม่มีใครทำ"
เมื่อมั่นใจว่าในเส้นทางอาชีพ พี่ขาบจึงก้าวเดินตามสเต็ปที่วางไว้ จึงเสาะหาความรู้และประสบการณ์เพิ่มเติม การเดินทางไปดูวัตถุดิบตามที่ต่างๆ ศึกษาเทรนด์งานดีไซน์เพิ่มเติม แล้วเริ่มก้าวแรกที่การเป็นนักเขียนฟรีแลนซ์ คอลัมน์อาหาร
"ประสบการณ์ในครัว บวกความชอบงานศิลปะ รวมถึงการเสาะหาเทรนด์ดีไซน์จากทั่วโลก สามารถนำความรู้ทั้งหมดมาประยุกต์ใช้กับงาน เมื่อภาพออกไปสู่ผู้อ่าน ทำให้ได้รับคำชม"
สเต็ปต่อไป คือการเปิดตัวคุ๊กบุ๊คของตนเอง โดย 3 ใน 4 เล่มที่พี่ขาบเขียนออกมานั้น ได้รับรางวัลในระดับนานาชาติ
เมื่อหนังสือได้รับรางวัล สร้างชื่อในฐานะฟู้ดสไตลิสต์ จึงก้าวมาสู่ อีเวนท์ คุ๊กกิ้ง โชว์ ในงานเปิดตัวสินค้าต่างๆ ซึ่งเจ้าของงานเลือกเราไปโชว์ เพราะเชื่อว่าจะทำให้หน้าตาอาหารดูน่าสนใจ และทำให้โชว์เป็นจุดสนใจ
ความสำเร็จที่สั่งสม สามารถผลักดันให้เกิด ขาบ สตูดิโอ (Karb Studio) ได้ในที่สุด
"การเปิดสตูดิโอ เกิดขึ้นหลังจากที่เราทำงานมาได้สักระยะหนึ่ง ลูกค้าอยากให้เราทำให้ทุกอย่าง แต่ตั้งคัดสรรวัตถุดิบ ไปจนถึงการออกแบบแพ็คเกจจิ้ง"
ขั้นตอนการทำงานของพี่ขาบ คือลงไปวิเคราะห์ ตั้งแต่วัตถุดิบ ต้องดูว่าพืชผักต้องจับคู่กับเนื้ออะไร แบบไหน คู่สีเป็นอย่างไร จะเข้ากันหรือไม่ หรือสีตัดกันหรือไม่ ทำออกมาแล้วหน้าตาเป็นอย่างไร และที่สำคัญอร่อยหรือไม่ นั่นเป็นหลักคิดที่ฟู้ด สไตลิสต์มือเอกใช้เป็นแนวทางการทำอาชีพ ซึ่งส่วนใหญ่สไตล์ของงานที่เห็น เขาว่า มักจะไม่เน้นพร็อบมากนัก หลักใหญ่อยู่ที่ความเรียบง่ายคือความสวยที่ยั่งยืน ทำให้หลายต่อหลายครั้ง
ผลงานที่ออกมาของ ขาบ จึงเน้นการผสมผสานระหว่างผักและเนื้อที่มีสีต่างกัน เพื่อขับให้จานอาหารดูโดดเด่น หรือแม้แต่การจับคู่อาหารกับจานก็สำคัญ อาทิเช่น หากเป็นอาหารตุ๋น สีที่ออกมาจะเป็นสีน้ำตาล จึงเลือกจับคู่กับจานสีฟ้า เพราะมีคู่สีที่ตัดกัน เมื่อถ่ายรูปออกมาจะได้ภาพที่สีสวยงาม
การออกแบบแพ็คเกจจิ้งก็เช่นเดียวกัน ไม่เน้นกราฟฟิก แต่เน้นรูปอาหาร กราฟฟิกอื่นๆ ที่เพิ่มเข้าไปบนแพ็คเกจจิ้ง คือตัวเสริมเท่านั้น
จากที่เคยถูกเชิญไปเป็นวิทยากรให้กับบริษัทผู้ผลิตอาหาร ก็เลื่อนขั้นไปสู่การร่วมพัฒนาสินค้า
"พี่ไปทำงานกับฝ่าย R&D ของแต่ละบริษัทเลย เพราะอาหารที่อร่อยและสวยงาม ต้องดูจากจุดเริ่มต้น ไม่ใช่นำอาหารที่ปรุงเสร็จแล้ว แล้วมาจัดให้สวยงาม"
ความตั้งใจทำงานนี่เอง ที่ทำให้ลูกค้าติดใจ เรียกใช้บริการจาก ขาบ สตูดิโอ มาอย่างยาวนาน เช่น โอบองแปง คาเฟ่ดีโอโร่ โครงการหลวง และสินค้าส่งออก เช่น แยมชบา และทูน่ากระป๋อง พีบี ฟิชเชอรี่

ฟู้ด สไตลิสต์ อาจดูเหมือนง่าย แต่ถ้าไม่มีความรู้เรื่องอาหาร แม้จะมีรสนิยมทางศิลปะดีแค่ไหน ก็อาจไปไม่ถึงฝัน หลายคนที่ก้าวเข้าสู่เส้นทางนี้แล้วกับบทบาทนักเรียนนักศึกษาด้านอาหาร ตามสถาบันการศึกษาหรือโรงเรียนสอนทำอาหารที่เปิดสอน ขาบ ว่า ดูจะมีดีกรีกว่าคนอื่นมาก และหากบวก "ใจรัก" ด้านรักศิลปะด้วยแล้ว โอกาสที่จะก้าวเข้ามาเป็นฟู้ดสไตลิสต์ ที่ประสบความสำเร็จ ยิ่งมีสูง